วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บทความน่ารู้ เกี่ยวกับ SPL , SQ or SQL

SPL  , SQ or SQL
โดย  : Mickeymouse   
EMMA International Certify Head Judge 2011 /  IASCA International Judge and Trainer2012
Owner :  SSS audio (Patanakarn53)
 
ทางใครทางมัน เป็นสิ่งที่ผมกำลังจะเล่าและบอกกล่าวให้ท่านผู้อ่านเข้าใจครับ  ว่า ตัวย่อสามตัว ที่เรากำลังจะพูดถึง มันมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นคำว่า ทางใครทางมันที่ผมว่า คือ ใครชอบอะไรก็เดินไปทางนั้นให้ถูกทางครับ เพราะมันเป็นไปมิได้ว่า เราจะทำรถคันนึงให้ดีมันสามอย่างหรือ สองอย่าง .....ท่านเชื่อผมเถอะครับว่าทำได้อย่างเดียวจริงๆครับ
                ก่อนอื่นต้องอธิบายกันหน่อยครับว่า เจ้าตัวย่อสามตัวที่ว่ามันคืออะไร ?
ตัวแรก SPL ย่อมาจาก  Sound Pressure level ซึ่งก็คือระดับแรงดันเสียง  อธิบายกันง่ายๆคือ การเปิดเสียงในระดับความดังสูงๆ โดย ในการแข่งขันนั้น เราใช้วิธีการนำไมโครโฟนเข้าไปติดตั้งในรถ แล้วให้ผู้เข้าแข่งขันทำการเปิดระบบเสียงให้ได้ระดับความดังที่สุด โดยส่วนมากจะวัดโดยการปิดประตูรถทุกบานให้สนิท แต่ในบางรูปแบบก็มีการวัดแบบเปิดประตูให้เห็นเช่นกันครับ โดยไม่สนใจว่าผู้แข่งขันจะเปิดเพลง หรือ เปิดความถี่เสียงสังเคราะห์ ที่สร้างขึ้นมา ก็ได้ (ขึ้นอยู่กับค่ายผู้จัดการแข่งนั้นๆเป็นคนกำหนดครับ) การแข่งขันแบบนี้ คนส่วนใหญ่คิดว่ามันไร้สาระ ไม่มีประโยชน์ หรือลามไปด่าบิดามารดาเขาเข้าซะ โดยอันที่จริงนั้นประโยชน์ของการทำรถแบบนี้นั้นมันตกอยู่กับผู้ใช้รถที่ชอบฟังเพลงทุกคนครับ ทำไมเหรอ? ก็เพราะว่า คนทำรถประเภทนี้แทบทั้งหมดเป็นผู้ผลิตหรือประกอบลำโพงครับ มีประโยชน์มากมายในการวิจัยพัฒนาการทำตู้ลำโพงและการทำดอกลำโพงให้ดีขึ้น เมื่อก่อนท่านเห็นเขาติดตั้งลำโพงกันดอกใหญ่ๆ15นิ้ว18นิ้ว ในรถเก๋งคันเดียว แต่ได้เสียงเบสดังในระดับที่ท่านๆยังยืนบ่นได้ครับว่าหนวกหู  แต่ถ้าเอารถคันเดียวกันลำโพงขนาดเท่ากัน ในปัจจุบันมาทำ ผมรับรองได้ว่าท่านจะไม่บ่น เพราะว่า ท่านไม่สามารถยืนอยู่บริเวณนั้นได้ทันที่จะบ่นครับ เพราะระดับความดังแตกต่างกันหลายเท่าตัว สิ่งนี้เองที่เรานำมาทำลำโพงตัวเล็กๆในรถที่ท่านๆใช้กันวันนี้ ให้ได้เสียงเบสอย่างกับติดลูกใหญ่ๆเมื่อก่อน ลำโพงตัวเล็กนิดเดียวสามารถทำเสียงให้ดีและดังมากกว่าตัวใหญ่ๆครับ ทั้งเรื่องการผลิตลำโพงและการออกแบบตู้ลำโพงได้รับการพัฒนาแบบเต็มๆครับจากการแข่งขันแบบนี้  ดังนั้นการปรับจูนเสียงของรถประเภทนี้ คือการปรับจูนค่าความถี่ต่ำเท่านั้นครับ โดยยึดหลักว่า ความถี่ใดๆที่ตรงกับความถี่กำธร ในรถ เขาก็จะใช้ความถี่นั้นเป็นหลักในการทำรถ อันนี้เราไม่ต้งสนใจเพราะรถเขามิได้ทำมาเพื่อให้ท่านๆฟังกันครับ
 
ตัวที่สอง SQ ย่อมาจาก Sound Quality ซึ่งก็แปลว่า คุณภาพเสียง อันนี้เป็นการทำระบบเสียงในรถของท่านเพื่อให้มนุษย์อย่างเราๆท่านๆฟังกันให้ไพเราะเสนาะหู งานนี้กว่าจะจัดระบบและคิดขั้นตอนและวิธีการทำรถแบบนี้ได้นั้น ผมว่าเราใช้เวลาและประสบการณ์มามากกว่า50 ปีที่มนุษย์เราได้มีการคิดประดิษฐ์เครื่องขยายเสียงและลำโพงออกมาครับ  
                ความเพราะ ความไพเราะ เอาอะไรมาวัด ? นี่เป็นคำถามที่คนในวงการเครื่องเสียง วงการเพลง พยายามหาคำตอบและมาตรฐานมาวัดครับ จนวงการได้เกิดสถาบันที่จัดงานแข่งขันใหญ่ๆในโลกมามากมาย เริ่มตั้งแต่ยุคแรกๆที่เอาเครื่องมือมาวัดว่าเสียงดีหรือไม่ จนมีการปรับปรุงรูปแบบต่อเนื่องและแก้ไขให้มีความเหมาะสมและทุกฝ่ายเห็นด้วย คือ การ ที่มีทั้งการตรวจวัดด้วยเครื่องส่วนหนึ่ง ตรวดวัดด้วยหูคนส่วนหนึ่งและ เรื่องของความปลอดภัยในการติดตั้งอีกส่วนหนึ่ง โดยผู้ที่สามารถทำคะแนนรวมได้มากที่สุดจะเป็นผู้ชนะไป โดยก็มิได้หมายความว่าเป็นรถที่เสียงดีที่สุดในการแข่งขัน แต่เราจะเรียกว่าเป็นรถที่ทำมาเข้ากฎเกณฑ์และกติกาที่เป็นที่ยอมรับมากที่สุด เพราะสุดท้ายแล้ว เจ้าของชุดเครื่องเสียงชุดนั้นเองหละครับที่จะเป็นคนตัดสินใจว่าดีที่สุดสำหรับตัวเขาหรือยัง ดังนั้น หากท่านใดที่สนใจที่จะทำรถไปเพื่อแข่งขันไม่ว่าจะเป็นรายการใดก็ตามแต่ที่ท่านเชื่อถือ ผมให้ข้อคิดว่า แค่ได้ทำรถตามกติกาไปแข่งขัน ให้มีผู้ติชมชี้แนะถึงงานของเรา เพื่อเราจะได้กลับมาพัฒนา นั่นแหละครับคือสิ่งที่ท่านได้กลับไปและมีค่ายิ่งกว่าถ้วยรางวัลใดๆ เสียอีก ....ถ้วยรางวัลเป็นสิ่งที่แสดงให้ท่านเห็นว่า ความพยายามและการพัฒนาของท่านไปถึงจุดหมายได้ในวันหนึ่งและวันนั้นจะเป็นเครื่องมือในการนำไปสร้างชื่อเสียงและผลงานด้านการตลาดต่อไปครับ ...ดังนั้น การจูนรถประเภทนี้นั้น จะต้องให้ความสำคัญมากๆกับ น้ำเสียงที่สมจริงเป็นธรรมชาติ และต้องสร้างจำลองเวทีเสียงด้านหน้าให้ได้สมจริงที่สุด ขอย้ำครับว่า ในรถ ครับ ฟังในรถเท่านั้น ในตำแหน่งคนขับครับ หรือจะเป็นตำแหน่งใดในรถก็ตามแต่เจ้าของระบบเสียงนั้นจะต้องการ แต่จุดที่เพราะที่เป็น sweet spot นั้นก็มีจุดเดียวครับ แต่ถ้าหากท่านต้องการย้ายตำแหน่งSweet spot ให้ไปเพราะตรงที่อื่นในรถ ก็ทำได้ แต่ก็ครั้งละจุดเท่านั้นครับ การสร้างเวทีเสียงที่สมบูรณ์ เรายังไม่มีเทคโนโยลีใดในปัจจุบันที่ทำให้คนนั่งทุกคนฟังเวทีเสียงได้สมบูรณ์ครับ   การจูนรถแบบนี้แล้วไปฟังนอกรถก็ไม่ได้เรื่องครับ เพราะอย่างที่บอกว่ามันแต่ต่างกันสิ้นเชิง
 
ตัวที่สาม SQL ผมอนุมานเอาว่า ย่อมาจาก Sound Quality and Level  (แต่เคยเห็นบางท่านบอกว่า Sound Quality Loud) ซึ่งผมว่ามันเป็นประโยคที่ไม่ไพเราะครับ เลยขอใช้ของผมละกัน  ที่กล้าบอกว่าขอใช้ชื่อที่ผมเรียกก็เพราะว่า ผมเป็นหนึ่งในทีมงานห้าหกคนที่ช่วยกันคิดรูปแบบการแข่งขันนี้ขึ้นมาครับ โดยได้มีการปรึกษาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทีมผู้จัดงานแข่งในประเทศฟิลลิปปินส์ด้วย แล้วเห็นพ้องต้องกันว่าเราน่าจะมีการแข่งขันประเภทนี้ขึ้นมา  ตอนนี้ก็มีการนำไปจัดแข่งขันกันอย่างแพร่หลายครับ
SQL คือการทำรถโดยมีวัตถุประสงค์ต้องการให้ฟังเพลงนอกรถโดยมีทั้งเสียงที่ดังไปไกลได้และยังต้องได้คุณภาพเสียงที่ดีด้วยนั่นเอง การทำรถประเภทนี้ จะต้องจูนเสียงนอกรถ ยืนฟังนอกรถห่างไปซักอย่างน้อยๆ5เมตร จากรถ แล้วค่อยจูนเสียงให้ได้ความไพเราะพร้อมทั้งหากสามารถสร้างจำลองเวทีเสียงได้ด้วยจะยิ่งยอดเยี่ยมครับ ก็อย่างที่ว่าครับ ฟังและจูนนอกรถ มันมีสิ่งมากมายที่ต้องเผื่อเช่นเสียงเบสก็จะต้องมากกว่าปกติเพราะเราฟังในพื้นที่กว้างจะจูนเหมือนฟังในรถไม่ได้ครับ เสียงแหลมเสียงกลางก็จะต้องพุ่งไปไกลกว่าปกติเช่นกัน เมื่อเราจูนแบบนี้แล้วหวังที่จะไปฟังเพราะในรถละก็ ฝันไปเหอะครับ มันคนละม้วนกันเลย นอกเสียจากว่าท่านจะมีการจูนเสียงและ memory ไว้คนละแบบ ฟังในรถอันนึง ฟังนอกรถอันนึง แต่คงต้องลงทุนเพิ่มอีกมากโขครับถึงจะสนองความต้องการแบบนั้นได้
 
อันที่จริงแล้วนั้น การแข่งขันในปัจจุบัน มีรูปแบบมากมายให้เลือกเล่นครับ บางท่านที่ชอบสนุก ไปลงแข่งก็ได้ประสบการณ์ดีครับ ผมว่ามันสามรถสร้างสีสันให้วงการเครื่องเสียงนั้นได้มีกิจกรรมต่างๆ มีการจัดแข่งขัน มีการทำบุญร่วมกัน มีการไปช่วยชาวบ้านที่เดือดร้อน มีกิจกรรมดีๆเกิดขึ้นพร้อมๆกับมิตรภาพครับ  อย่าไปมัวเอาเป็นเอาตายกันนักเลยครับ แข่งเสร็จมีเพื่อเพิ่มขึ้นมีความรู้มากขึ้น ได้ทำสิ่งดีๆให้เกิดในสังคม คนที่จัดงานแข่งแบบนี้ ทั่วประเทศ ผมขอปรบมือให้ครับ จงรักษามาตรฐานดีๆ เอาไว้อย่าให้เสียไปครับ 

บทความเรื่อง ว่าด้วยการเรียนรู้ที่จะฟังความถี่ต่ำ ในชุดเครื่องเสียง(part1)


บทความเรื่อง ว่าด้วยการเรียนรู้ที่จะฟังความถี่ต่ำ ในชุดเครื่องเสียง
โดย  : Mickeymouse   
 EMMA International Certify Head Judge 2011 /  IASCA International Judge and Trainer







 
หลังจากที่ได้เขียนบทความเรื่องบทความพิเศษว่าด้วยเรื่อง ความถี่เสียงที่เกินขอบเขตการได้ยินของมนุษย์  ไปแล้วมีเสียงตอบรับมาค่อนข้างดีครับทั้ง e-mail ที่ผมได้รับจากเพื่อนๆในวงการ ทั้งร้านติดตั้งและทั้งผู้บริโภคว่า ชอบ และขอให้เขียนต่อเนื่องไป เลยมานั่งนึกๆดูว่า เราจะเล่าเรื่องอะไรกันต่อที่ต่อเนื่องจากหัวข้อก่อนนี้ได้บ้าง ก็เห็นว่า น่าจะเล่าถึงเรื่องราวของความถี่ต่ำในระบบเสียงกันครับ ว่า การฟังเพลงที่เขาเรียกกันว่า Hi-end ทั้งหลาย เขาฟังย่านเสียงต่ำกันยังไง เพราะผมเองเรียนตรงๆว่า ถนัดที่สุดก็เรื่องของการฟังและการปรับจูนเสียงในแง่มุมของนักฟัง Audiophile ครับ เพราะส่วนตัวเองนั้นสนใจและบ้าบอมาทางด้านนี้ ซะมากกว่าด้านอื่น เลยเป็นเหตุที่มานั่งเขียนเรื่องราวภาคต่อเนื่องในวันนี้ให้ท่านๆอ่านกันครับ
มาว่ากันเรื่องการฟังครับ การฟังเพลงแบบ Audiophile ที่ว่ากันนี่ เราเน้นไปที่ความสมจริง ของเสียง ทั้งในแง่มุมของความเหมือนของชื้นดนตรี ความเหมือนของเสียงองประกอบอื่นๆทั้งเสียงคนร้องนำ เสียงครอรัส เสียงปรบมือ ไปกระทั่งเสียงผิวปากที่ได้มีการบันทึกมาในแผ่นหรือแทรคนั้นๆ แต่การที่เราจะทราบได้ว่าอะไรเหมือน อะไรไม่เหมือน อะไรคล้ายคลึงไกล้เคียง อะไรที่ดีอะไรที่แย่จนรับไม่ได้ ย่อมต้องมาจากการเรียนรู้ที่จะไปฟังจริง ไปเสาะหาฟังของจริง ครับ ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะใช้ทั้งเงิน ทั้งเวลา ทั้งโอกาส แต่บางท่านก็เรียนลัดด้วยการไปขอฟังระบบที่มีคนยืนยันแล้วว่าดีจริงก็ได้ครับ เพราะในชีวิตประจำวันเราที่อยู่กันปกติ ไม่ว่าจะฟังจากลำโพงในทีวีที่บ้าน จากชุดเครื่องเสียงธรรมดาที่ห้อง หรือจะเป็นจากของแถมหูฟังจากโทรศัพท์smartphoneทั้งหลาย ก็แล้วแต่  นั่นเราเดาได้เลยครับว่า ส่วนใหญ่เป็นของธรรมดาราคาถูกๆ เมื่อเราฟังทุกวันจนชิน แล้วเราไปขอฟังระบบที่เรียกว่าดีๆ ซักครั้งแค่นั้นเองผมก็เชื่อว่าท่านรู้ได้ถึงความแต่ต่างอย่างลิบลับของของดีกับของห่วยแล้วครับ  ต่อมาเมื่อเราจะพูดถึงว่า เมื่อรู้แล้วว่าของดีของห่วยต่างกันแล้วหากอยากทราบว่า ของดีๆเนี่ยมันยังมีดีกว่าเหนือกว่าแพงกว่า เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรดีกว่ากัน ทีนี้หละครับ ต้องมาพูดกันยาวแน่นอน เพราะว่าจะต้องมานั่งจับผิดกันแล้วหละว่าเสียงจากอันไหนเหนือกว่าอันไหนเพราะอะไร ก็เลยต้องติดตามผมต่อไปครับว่าจะเอาอะไรมาเล่าให้ท่านฟังกันบ้าง
ผมขอพูดในเรื่องของความถี่ย่านต่ำกันก่อนแล้วกัน เหตุผลหนึ่งก็คือ มีเครื่องดนตรีที่ทำงานย่านความถี่ต่ำไม่มากมายนักครับ ความถี่ต่ำที่จะพูดในวันนี้คงจะอยู่ราวๆตัวเลขที่ ไม่เกิน 60Hz ที่เราจัดมันไว้ในหมวด กลุ่มSubBass ครับ ความถี่ตั้งแต่เริ่มต้นที่แถวๆ20-60Hz มีเครื่องดนตรีน้อยชิ้นมากครับที่สามารถทำงานได้ พวกกลุ่มเครื่องสายแทบจะไม่มีเลย เครื่องเคาะย่างกลองก็ต้องเป็นกลองตัวใหญ่ๆครับ ไอ้กลองกระเดื่องในกลองชุดที่เห็นๆกันยังแทบจะทำไม่ได้เลยครับ  เรามายกตัวอย่างเท่าที่นึกได้กันครับว่ามีเครื่องดนตรีอะไรบ้างที่สร้างเสียงช่วงดังกล่าวนี้ได้ ก็มี Double Bass  มี Timpani มี Pipe Organ ครับ โดยท่านสามารถอ้างอิงได้จากตารางความถี่ด้านล่างนี้ครับ


ที่มา จากweb  http://www.independentrecording.net




จากที่ท่านเห็นในรูปครับว่า ชิ้นดนตรีที่สามารถลงมาแตะช่วงแถบสีน้ำตาลอมแดง มีน้อยมากๆครับ หากท่านใดสนใจสามารถเข้าไปsaveมาเป็นความรู้ได้ที่เวปใต้ภาพครับรูปนี้เท่าที่เคยมีคนทำมาผมว่าดูง่ายและครบถ้วนที่สุดครับท่านที่ชอบฟังเพลงไม่ควรเอาไว้ห่างตัวครับ ส่วนผมเองก็ถือโอกาสนี้เองค่อยๆใช้การอ้างอิงจากภาพประกอบนี้ไปจนจบเรื่องความถี่เสียงและชิ้นดนตรีครับ เพราะประโยชน์ของมันมากมายมหาศาลครับ คอยดูต่อไปละกัน
จากตารางท่านเห็นว่า มีเครื่องดนตรีเพียง7ชนิดที่สามารถลงความถี่ย่าน SubBass ได้ครับ เท่าที่เป็นที่นิยมและรู้จักกันนะครับ  ที่นี้หละพอท่านมองเห็นภาพเข้าใจแล้ว เราก็สามารถพูดกันต่อเรื่องของการฟังความถี่ต่ำได้ว่าอะไรสมจริงอะไรดีไม่ดีอย่างไร  เรามาไล่เรียงกันทีละชิ้นดนตรีครับ เริ่มด้วยล่างสุดคือ Pipe Organ ที่เรากล่าวถึงกันบ่อยมากๆ ก็เพราะน่าจะเป็นเครื่องดนตรีเดียวเลยครับที่สามารถลงความถี่ได้ถึง 20Hz แบบที่เป็น Fundamental เลย และมี range ความถี่ที่ กว้างที่สุดของเครื่องดนตรีเพราะสามารถครอบคลุมตั้งแต่20Hz ไปจนเกือบ 10KHz เลยจะเทียบเคียงกันได้ก็คงต้องเป็น Piano ที่มี88Key ขึ้นไปครับ ถึงจะทำได้สูสีกัน แต่pianoเองนั้นก็ไม่สามารถให้พลังออกมาในย่านต่ำได้เท่า Pipe Organ ครับ  จากข้อมูลดังกล่าวผมแนะนำให้ท่านไปหาฟังpiano หรือpipe Organ ครับเพราะดูจะหาฟังได้ไม่ยากเย็นเหมือนชิ้นดนตรีอื่น อย่างพวก Harp หรือ Contrabassoon ที่ยิ่งหาฟังยากกันไปใหญ่ แล้วก็ไม่มีใครมาเล่นเดี่ยวๆให้ฟังแน่แท้  จึงหนีไม่พ้น Piano กับ Pipe Organ แน่นอน เพราะเล่นเดี่ยวๆได้ หาฟังกันได้ครับ ถ้าจะลองตามlobbyโรงแรมดีๆ ก็มี piano แจ๋มๆ แต่ถ้าPipe Organ คงต้องไปหาโบสถ์ใหญ่ๆที่มีทุนทรัพย์พอที่จะซื้อมาใช้ ไม่แน่ใจว่าโบสถ์วัฒนา หรือ กรุงเทพคริสเตียนจะมีหรือไม่ครับ ใครทราบส่งข่าวกันด้วยได้ครับเพราะราคาค่าตัวเป็นล้านทั้งนั้นเลย บ้านเรามีไม่มากนักแต่ทางมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ มีให้ฟังถมเถ หรือท่านไหนจะบินไปหาฟังแถบยุโรปเยอรมันประมาณนั้นก็ตามสะดวกครับ  พอไปหาฟังกันบ่อยๆเข้าก็จะได้รู้ครับว่าความเหมือนจริงเป็นเช่นไร แล้วไอ้ชุดเครื่องเสียงที่ท่านมีอยู่มันดีหรือห่วยอย่างไรท่านจะทราบเองโดยที่ผมไม่ต้องบอกครับ  เอาหละครับ หน้ากระดาษหมดแล้วฉบับนี้ อย่าลืมจำรูปความถี่เสียงที่ผมนำมาให้ดีนะครับเพราะเราจะใช้กันอีกนาน   ไว้เจอกัน (part2)ต่อนะครับท่านๆ


 
พบกันที่     www.facebook.com/sssaudio

Source Unit ระดับเทพ ที่นักเล่นทั่วโลกอยากได้มาครอบครอง ตอนที่1 ตอน ....เครื่องเล่น เสียงแบบเทพในราคาเบาๆ

Source Unit ระดับเทพ ที่นักเล่นทั่วโลกอยากได้มาครอบครอง ตอนที่1
ตอน ....เครื่องเล่น เสียงแบบเทพในราคาเบาๆ
โดย  : Mickeymouse   
 EMMA International Certify Head Judge 2011 /  IASCA International Judge and Trainer
Owner :  SSS audio (Patanakarn53)

ไม่ได้มีโอกาสเขียนบทความในแนวแนะนำผลิตภัณฑ์เด็ดๆมานานแล้ว เนื่องจากพักหลังๆมัวไปวุ่นวายเกี่ยวกับงานแข่งขันตลอดเวลา กว่า 7 ปี งานบุญงานกุศลต่างๆงานประเภทที่ได้กล่องได้โล่ ที่ทางชมรมผู้ประกอบการนำเข้าเครื่องเสียงขอความช่วยเหลือและเชื้อเชิญให้ไปช่วย จนงานการตัวเองแทบมิได้สนใจ คราวนี้ ปี 2012 คงจะได้กลับหลังหันมาเพื่อทำสิ่งที่อยากทำในฐานะสื่อที่คอยให้ความรู้กันอย่างเต็มที่ อีกครั้งครับ ดังนั้น พี่น้องผองเพื่อนที่คอยติดตามบทความต่างๆของ Mickeymouse มาตลอดคงได้เลิกรอซะทีเพราะปีนี้รับรองว่าจุใจครับ ใครอยากให้เขียนเรื่องอะไรส่งเสียงมาบอกกล่าวกันได้ครับ ที่ www.facebook.com/sssaudio    เราจะได้พิจารณาแล้วนำมา ปล่อยวิชา ให้ท่านๆอย่างสม่ำเสมอต่อไปครับ (หลังจากที่ภูมิใจที่สร้างมาตราฐานให้งานแข่งขันเครื่องเสียงของบ้านเราได้รับการยอมรับจากนานาประเทศว่ามีความยุติธรรมมาตลอด อย่างน้อยก็ในยุคที่พวกผมและทีมผู้ตัดสินทั้งหมดที่ทุ่มเททำงานมากว่า7ปีครับ )
เอาหละครับ เรื่องราวที่ผมตั้งใจเขียนถึงบอกเล่าท่านๆในวันนี้ก็จะเป็นเรื่องของ ต้นกำเนิดเสียงเด็ดๆในรถยนต์ที่คนมีอันจะกินและฟังเพลงแบบจริงจังเขาเล่นกันครับ หรือจะให้พูดจาฟังง่ายก็คือ front เทพๆในยุคปัจจุบันที่คนเขาเล่นกันและยอมรับว่าเจ๋งสุดๆ จะมีอะไรบ้าง แต่ละตัวมีดีอะไรถึงได้ครองใจนักเล่นได้ เชิญท่านๆมาคอยเกาะเก้าอี้อ่านกันครับ ผมจะบรรเลงหละครับ
ขอเริ่มโดยย้อนไปไม่กี่ปี นะครับ ว่าในช่วง4-5ปีที่ผ่านมา จนถึงเวลานี้ มีอะไรน่าสนใจบ้าง  นึกถึงเครื่องแรกก็จะเป็น Pioneer DEH-P80RSII ที่ ขายดิบขายดีชนิดที่ว่าของขาดตลาดไปหลายครั้งครับ เนื่องจากที่ได้มีการปรับปรุงตัว chip Burr brown ที่คุณภาพดีขึ้น ทำให้น้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟังกว่าเดิมในราคาที่ถูกแสนถูก ประเภท เงินเดือนซัก สองสามหมื่น ก็อยู่ในฐานะที่ซื้อใช้ได้สบายครับ ด้วยความสามารถมากมายประเภท อยากได้อะไรมีหมด ทั้งภาคปรีเอ้าท์แบบ 4 volts ถึง 6channel เลยที่เดียว และยังมี Crossover network แบบ 3ทาง แยกเป็น สำหรับลำโพงtweeter woofer และ subwoofer ได้ในตัวเครื่องโดยมิต้องพึ่ง Passive crossover ของลำโพงหรือแม้แต่electronic crossover ในเพาเวอร์แอมป์เลยครับ แถมด้วยชุดความคุมการหน่วงเวลาลำโพงแต่ละตัวแยกอิสระโดยสามารถปรับตามระยะห่างของลำโพงแต่ละตัวจนถึงหูคนฟังได้ทำให้สร้างเวทีเสียงที่เรียกได้ว่าแทบจะสมบูรณ์แบบที่เราๆท่านๆต้องการ และการปรับแต่งเสียงต่างๆที่กล่าวมายังทำได้ง่ายไม่ซับซ้อนมากมาย  จะติดบ้างก็ตรงที่มีข้อจำกัดในเรื่องของ ไม่ได้ผลิตมาให้สามารถใช้งาน port usb ได้ทันทีครับ หากท่านใดต้องการใช้งานกับ USB device ทั้งหลายก็จะต้องไปซื้อหาoption เพิ่มเติมแต่ตัวoption ที่ว่าก็ยังไม่สามารถsupport พวก ipod iPhone หรืออะไรที่คนอื่นๆเขามีกันหมดแล้วได้ครับ อาจจะด้วยเหตุผลที่ว่า มันเป็นแค่การปรับปรุงจากรุ่นเดิมคือ P80 ตัวแรกขึ้นมาโดยยังใช้พื้นฐานวงจรต่างๆเดียวกันจึงไม่สามารถขจัดข้อจำกัดนี้ไปได้ครับ  แต่เมื่อต้นๆปีที่มีการเปิดตัวรุ่นที่จะมาทดแทนP80RSII ก็คือ รุ่น P80PRS  ที่ถือเป็นการ Major Change หรือ Big Change ครั้งใหญ่ที่มีการปรับปรุงทั้งหน้าตาการออกแบบภายนอกที่ดูทันสมัยกว่าเก่ามาก แต่ในแง่มุมของผมเองผมกลับมิอยากให้ออกแบบทันสมัยจนเกินไป ....ผมเองบอกตรงๆไม่อ้อมค้อมว่ามิถูกใจหน้าตาภายนอกนัก แต่อาจจะถูกใจท่านอื่นๆหรือคนอื่นๆทั่วโลกก็เป็นได้ครับ แต่งานนี้ มีความสามารถมากมายเช่นการเล่นแผ่น MP3 ได้ดีกว่าเดิม การรองรับ ipod iphone และยังรองรับ USB แถมด้วยสามารถใช้งาน Bluetooth ได้อีกด้วยครับ งานนี้ ของเพิ่มเพียบแต่เปิดตัวราคาไม่แพงเลย ถูกกว่าตัวเดิมเสียด้วย อย่างนี้น่าจะขายดิบขายดีไม่แพ้ตัวเดิมได้ไม่ยากครับ แต่ทว่าเรื่องของเสียงนั้นมีอะไรพัฒนาหรือไม่ ประเดี๋ยวพูดกันต่อ



เรื่องคุณภาพเสียงเจ้า P80PRS ปี2012 ตัวใหม่นี้นั้นผมได้นำมาทดสอบจริงๆจังๆเปรียบเทียบกับตัวเดิมเลยแบบตัวต่อตัว จึงสามารถสรุปให้ท่านผู้อ่านแบบละเอียดได้เลยครับ ว่า นำเสียงโดยรวม ไม่แตกต่าง จะมีในเรื่องของรายละเอียดยิบย่อยที่มีบางส่วนที่เหนือกว่าเดิม เช่นประกายของย่านความถี่สูงที่จะสะอาดกว่าเล็กน้อย เสียงกลางสูงที่แทบจะจับไม่ได้เลยว่ามีความแตกต่าง แต่เสียงกลางต่ำนั้นหนากว่าเดิมเล็กน้อยครับ แต่ในขณะที่ย่านเสียงต่ำพวกเบส ดูจะบางลงกว่าเก่าบ้างเช่นกัน ส่วนเรื่องของการใช้งานที่ส่วนตัวผมว่ามันยากและต้องทำความเข้าใจและอาศัยความคล่องจากการใช้บ่อยจึงจะลื่นไหลครับ อันนี้อาจเป็นเพราะผมเคยชินกับการสั่งงานและเข้าไปในเมนูการปรับแต่งเสียงขของตัวเดิมมาหลายปีมาก ก็เลยจะขัดๆใจบ้างครับ เอาเป็นว่า สำหรับคอAudiophile ที่กระเป๋าไม่หนักนัก เจ้า P80PRS ใหม่ตัวนี้ สวยเสียงดี ปรับแต่งได้เพียบ ราคาไม่แพงเลยครับ





ต่อมา หันไปดูอีกค่ายกันในระดับราคาที่ไม่หนีกันมากมาย คือ JVC ครับ ที่สองสามปีที่ผ่านมานั้น ดูจะหันไปเอาดีในด้านของ DVD  Multimedia  มากกว่าและทำเงินได้มาก จนท่าทางจะไม่ค่อยสนใจกลุ่มสินค้าราคาหมื่นต้นๆที่เน้นเรื่องของเวทีเสียงการปรับแต่งเสียงแบบเน้นเวทีเสียง มากนัก เลยเกิดอาการสุญญากาศไปในช่วงนี้ครับ รุ่นสุดท้ายที่เราเห็นว่าเขาออกมาทำตลาดเอาใจกลุ่มนี้ ก็คือ JVC KD-SH1000 ครับที่ มิได้มีสิ่งใดด้อยไปกว่า Pioneer P80rsII รุ่นก่อนเลย แถมผมเองเคยทดสอบและวิจารณ์ไปแบบตรงๆเลยครับว่า นำเสียงและความเป็นธรรมชาติ นั้นเหนือกว่าเล็กน้อยด้วย ผนวกกับการที่สามารถรองรับการใช้งานกับUSB ด้านหน้าเครื่องได้เลย จุดนี้เป็นจุดเด่นที่หากหยิบมาสู้กัน ผมเชื่อว่ายอดขายก็คงไม่ทิ้งกันเป็นแน่แท้ครับ แต่อาจเป็นเพราะการFocus การตลาดที่แตกต่างกัน จึงทำให้ทางค่าย JVC มิได้เน้นการทำการตลาดสู้ผู้บริโภคมากนัก แต่เครื่องรุ่นนี้เป็นเครื่องที่ผมชอบมากเครื่องหนึ่งเลยครับ ความลงตัวด้านเสียง การออกแบบ การใช้งาน ครบเครื่องมากๆ น่าเสียดายที่มิได้มีการออกรุ่นใหม่มาเพื่อลงสู้ในsegment นี้ครับ ราคาหมื่นปลายๆในยุคนั้น กับเสียงที่เหนือกว่าผมว่านักเล่นยอมจ่ายได้สบายๆครับ เพราะว่าไม่ว่าจะ 3way crossover , Time alignment , 9 band Equalizer นั้นมิได้มีสิ่งใดที่ด้อยกว่าคู่แข่งรายแรกเลย จะเหนือกว่าในแทบจะทุกด้านด้วยซ้ำครับ แต่ก็นั่นแหละครับว่าเสียดายที่ผู้ผลิตมิได้มีออกสินค้ามาทำตลาดต่อ เสียดาย เสียดาย หวังว่าเสียงเล็กๆที่ส่งไปจะดังไปถึงคนออกแบบผลิตภัณฑ์บ้างนะครับ เพราะผมเองก็แฟนคนหนึ่งครับที่รอจะใช้สินค้าใน segmentนี้ของ JVC อย่างตั้งใจ



ต่อมา ก็เป็นอีกค่ายที่ ต้องยอมรับเลยครับว่ามีความแข้งแรงในด้านการสร้าง Brand ให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นมาตลอดไม่เคยหยุดนิ่ง จะย้อนกลับไปในกลุ่มสินค้าที่สร้างเวทีเสียงได้ก็ตั้งแต่สมัย CDA-9833 , CDA-9835 จนมาเปลี่ยนเป็น CDA9853 , CDA9855 ที่อาจจะมีสะดุดขาตัวเองจากเทคโนโลยี่ที่ Hitech ไปกว่าผู้ใช้ซักนิดนึง เลยทำให้มีคนบ่นมากว่า ใช้งานยาก( แต่ผมชอบครับสำหรับเจ้า glidetouch ที่เป็นแถบด้านล่างที่ใช้นิ้วรูดเปลี่ยนเมนูการทำงานก่อนกดสั่งงาน) ครับทั้งสามรุ่นนี้ได้สร้างตำนานให้คนเล่นเครื่องเสียงต่างไปคว้าหามาเป็นเจ้าของ ก่อนยุคที่ Pioneer จะมาสู้ในตลาดเสียอีก ...ผมเองยุคสมัยนั้นเป็นยุคที่ทุ่มเทเวลาไปกับการนั่งเล่นปรับจูนเวทีเสียงแบบจริงจังอย่างกับคนบ้า จนเป็นที่มาของความชำนาญในด้านการปรับจูนเสียงและเวทีเสียงในวันนี้เลยครับ สำหรับรุ่นที่จะกล่าวถึงในยุคนี้ เห็นจะเป็น CDA9887 ที่ออกมาเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ และก็ได้รับการยอมรับขายดิบขายดีไม่แพ้รุ่นเก่าเลย แต่กระนั้นก็ตาม มีเสียงจากกลุ่มนิยมขายของมือสองระดับhiend ออกมาเสมอๆว่าเสียงสุ้รุ่นเก่าไม่ได้บ้าง เสียงแห้งกว่าเดิมบ้าง จนมีช่วงนึงที่ผู้บริโภคหันไปหาซื้อของรุ่นเก่า แทนที่จะซื้อรุ่นใหม่กัน อาการที่เกิดขึ้นแล้วส่งผลให้เกิดการชี้นำผู้ซื้อไปพักใหญ่ครับ แต่ผมเองเป็นคนหนึ่งครับ ที่ปฎิเสธคำลือกันนั้นตลอดเวลา เพราะบ่อยครั้งมากที่ได้ทดสอบแบบเทียบAB Test กับเครื่องรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ ผมกล้ารับประกันเลยว่า รุ่นใหม่ที่ทางAlpine ได้วางตลาดมานั้น คุณภาพเสียงมิได้ด้อยไปกว่าเดิมเลย แถมด้วยการปรับปรุงพัฒนาหลายๆจุดเพื่อให้รองรับเทคโนโลยีใหม่ไปเรื่อยๆ เพียงแต่บางจังหวะการที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆเทคนิคใหม่ๆเข้ามาอาจทำให้คนใช้งานเดิมไม่ค่อยถนัดบ้างเพราะต้องเหมือนถูกบังคับให้เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งาน ก็เลยเกิดการชะงักบ้างครับ ยิ่งค่ายalpine นั้น มักชอบที่จะออกแบบอุปกรณ์ส่วนควบต่างๆมาด้วยกันจนเหมือนกับการผูดขาดให้ใช้สินค้าของเขา อาทิเช่น เจ้าเครื่อง Alpine รุ่นเหล่านี้ หากต้องการความprofessional มากกว่าเดิมก็ต้องใช้ Processor ของทาง Alpine โดยหากไปใช้งาน Processor ข้ามค่าย ก็จะทำให้มี Noise มากกว่าที่น่าจะเป็น ซึ่งเราผู้ใช้งานก็ไม่ทราบจริงๆครับว่าเป็นความตั้งใจ จงใจที่จะออกแบบมาแบบนั้นหรือไม่ ยิ่งในยุคใหม่ๆเครื่องเล่นรุ่นใหญ่ ระดับหลักแสนบาท นั้นยิ่งเหมือนถูกออกแบบมาให้มีการสั่งงานด้วยระบบ ion Bus ที่มีแต่ในค่ายนี้เท่านั้น ถึงจะเสียงperfect จุดเหล่านี้เองครับที่ผมเชื่อว่า ทำให้ทาง Alpine นั้นได้แยกลูกค้าออกเป็นสองกลุ่ม โดยกลุ่มแรกที่มิได้มีกระเป๋าหนักมากนัก เมื่ออยากจะลองใช้กลับรู้สึกเหมือนว่าเอ หากเอา Alpine ไปใส่เพิ่มเข้าไปกับอุปกรณ์เครื่องเสียงอื่นๆที่เขามีคนละยี่ห้อกัน มันจะไม่ได้ประสิทธิภาพเต็มที่ ก็เลยมีอาการลังเล จนอาจจะไปเลือกสินค้าค่ายอื่นที่ทดแทนกันได้บ้างบางส่วน แต่หากเป็นนักเล่นแบบต้องการความสุดยอด ก็มักจะระบุว่าเอาAlpine เป็นชุดที่ออกแบบมาด้วยกัน ไปเลยครับ
หลังจากเจ้า CDA9887 ก็มาเป็นล่าสุดครับคือ CDA-117ePro ที่มาเพื่อสู้ทุกรูปแบบกับสินค้าในค่ายที่พูดไปก่อนหน้า โดยเจ้า CDA-117ePro นี้ ได้มีการผนวกเอา Processor imprint ที่เดิมนั้นได้เป็นอุปกรณ์แยกขาย ให้เข้าไปรวมเป็นส่วนประกอบที่มีให้มาพร้อมกับรุ่นดังกล่าว ดังนั้น เครื่องรุ่นePro นี้จึงมีทั้งความสามารถในการเล่นเวทีเสียงได้อย่างสมบูรณ์ ทั้ง3way active crossover แบบเซียน ทั้ง TA แบบมืออาชีพ ไปจนถึง EQ ที่ละเอียดกว่าเดิมเพื่อเอาใจนักเล่นชั้นเทพน้อยๆทั้งหลาย แถมด้วยความเก่งกาจด้าน ipod iphone ที่เชื่อมต่อใช้งานได้อย่างรวดเร็ว กับความสามารถต่อเชื่อมกับ USB ได้เลยในตัว แบบนี้ ค่อยกลับมาสู้ศึกในสมรภูมิรบอันดุเดือนได้อย่างมั่นใจครับ ถึงแม้ว่าราคาค่าตัวจะสูงกว่าสองค่ายข้างต้น แต่ก็ไม่ค่อยเป็นอุปสรรคเนื่องจาก Brand ที่ค่อนข้างแข็งแกร่งในกลุ่มนักเล่น Audiophile มากกว่าใครเขารวมทั้งนโยบายอันเด็ดขาดที่ทางผู้แทนนำเข้าและศูนย์บริการจะไม่มีการรับซ่อมสินค้าที่ไม่ได้ซื้อกับตัวแทนในประเทศไทย แบบไม่มีลดราวาศอก ทำให้ยอดขายของบริษัทนำเข้าสามารถควบคุมให้น่าพอใจ แบบแทบจะไม่มีของหนีภาษีหรือของหิ้วเข้ามานักครับ น้ำเสียงของรุ่นใหม่นี้ดีกว่ารุ่น CDA9887 ไปอีกพอสมควรครับ ด้วยความที่ได้ข้อได้เปรียบของเจ้า imprint ที่พิเศษกว่าใครๆ ทำให้การพัฒนาด้านhardwareภายในทำได้โดยสามารถใช้พื้นที่ในเครื่องได้มากขึ้นครับ เสียงที่มักมีคนพุว่า แหบแห้ง ก็นุ่มนวลหวานอุ่นมากกว่าเดิม เป็นอีกรุ่นนึงที่น่าซื้อหาไว้ครอบครองครับ สวย เสียงดี เวทีสมบูรณ์แบบ
ก่อนจะจบตอน ผมเจอของเด็ดอีกตัวนึงครับ จากค่าย Eclipse ที่ไม่ว่าใครก็เชื่อในฝีไม้ลายมือของค่ายนี้ว่า ทำสินค้าออกมาแต่ละชิ้น ล้วนมีทีเด็ดด้านคุณภาพเสียง และลูกเล่นที่น่าทึ่งเสมอๆ หลังจากที่หายหน้าตาไปหลายปีในแวดวงเครื่องเสียงบ้านเรา แต่ในต่างประเทศถึงเขาจะเงียบกริบแต่ก็มีสินค้าออกสู่ตลาดมานะครับ อย่าง CD5000 CD7000 เมื่อหลายปีก่อน ที่เล่นเอาสะเทียอนวงการHiend ไปไม่น้อย เพียงแต่บ้านเรานั้นไม่มีตัวแทนจำหน่ายแบบเอาจริงเอาจังกับเขา เลยไม่มีใครรู้เท่าไรนัก จนมาอีกรุ่นคือ CD7100 ที่ก็สร้างชื่อเสียงอีกครับ ขนาดว่าเขาคุยกันไปทั่วโลกเรื่องคุณภาพเสียงที่ไม่ว่าเซียนหน้าไหนมาฟังก็ตองยกนิ้วครับ ส่วนที่ผมจะกล่าวถึงครั้งนี้ก็คือ รุ่นใหม่ล่าสุดที่เปิดตัวเมื่อกลางๆปี คือ CD5030 ที่เปลี่ยนหน้าตาไปพอสมควรจากรุ่นเดิมๆที่หนาเทอะทะ กลับดูเพรียวบางสวยงาม ผนวกกับอ่านSpecification ที่ ผมว่ามิได้มีอะไรด้อยลงไปกว่าเดิมนัด ทั้ง6Channel Preoutขนาด 5 volts เลย อีกทั้งCrossover 3way ที่ปรับเปลี่ยนSlope ได้ด้วย พร้อมกับ TA อิสระ แต่ละchannel และEqแบบ 7band parametric Equalizer  คราวนี้มาพร้อมกับ Bluetooth และ USB port เช่นกัน ครับ งานนี้ ทุกค่ายที่กล่าวมาข้างต้นบทความ ได้มีคู่ปรับที่เรียกว่าน่ากลัวมาในสังเวียนแล้ว เพียงแต่ว่า บ้านเราคงมิกระทบอะไรเนื่องจากที่ว่า สินค้ายี่ห้อนี้ไม่มีผู้ใดทำการตลาดเลยมานานครับ แต่ยังไงผมก็เอาข้อมูลที่น่าสนใจมาฝากกันครับ และเชื่อเหลือเกินว่าแฟนๆพันธ์แท้ของค่ายEclipse ยังรอคอยที่จะได้ลองกันครับ เพราะจากประสบการณ์ตรงที่ได้เคยผ่านการใช้งานเครื่องทุกตัวที่เล่าให้ฟังแล้วนั้น เรื่องคุณภาพเสียง เจ้า Eclipse เนี่ย ฟินมาก ครับ ฟิน จริงๆ (ใช้ศัพท์วัยรุ่นไปรึเปล่าเนี่ย) 

ผลิตภัณฑ์ทั้งหลายที่กล่าวมานั้น อยู่ในช่วงราคาที่เรียกว่าจับต้องได้ ไม่ลำบากยากเย็น คือ ตังแต่ราคาหมื่นต้นๆ ถึงสองหมื่นครับ ดังนั้น หากท่านเป็นนักเล่นที่รู้ตัวว่าชอบฟังชุดเครื่องเสียงที่ถ่ายทอดคุณภาพเสียงได้ดี คงต้องทราบไว้ว่าต้นกำเนิดเสียงในรถยนต์นี่มีส่วนสำคัญมากที่จะกำหนดชะตาของระบบเสียงนั้นๆว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน ดังนั้นกรุณาพิถีพิถันในการเลือกใช้มากซักหน่อยครับ ถ้ายังมือใหม่ก็เลือกสิ่งที่เรานำมาแนะนำกันรับประกันว่าไม่ผิดหวังครับ เพราะเราทำงานหนักเพื่อทดสอบ วิเคราะห์ อย่างลึกซึ่งและละเอียดก่อนที่จะนำมาแนะนำหรือเล่าสู่กันฟังแบบนี้


  อย่าลืมนะครับว่า เรามีนัดกันฉบับหน้าต่อ ในเรื่องของ Source Unit ระดับเทพ แบบไม่จำกัดงบประมาณในตอนต่อไป ....แล้วเจอกันคราวต่อไปคร้าบ

 สวัสดีพี่น้องชาวโลก


MICKEYMOUSE

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ วัสดุซับเสียง DAMPING MATERIAL (PART2)

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ วัสดุซับเสียง DAMPING MATERIAL (PART2)


จากฉบับที่ผ่านมาเราได้มีการกล่าวถึง วัสดุซับเสียงประเภทต่างๆให้ท่านผู้อ่านทำความเข้าใจตามกันไปแล้วในเบื้องต้นนะครับ จากข้อมูลที่ให้ไปนั้นท่านพอจะแยกแยะวิธีการใช้และประโยชน์ของแต่ละประเภทได้หรือไม่  อย่างไรก็ตามครับ ในฉบับนี้เราจะมาแนะนำกันว่า หากท่านมีรถคันหนึ่งต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพของการป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกเข้ามาและไม่ต้องการให้เสียงจากภายในรถเช่นเสียงของเครื่องเสียงที่ท่านสู้อุตส่าห์ลงทุนเสียสตางค์ไปมากไม่ให้ออกไปเผื่อแผ่รถคันข้างๆ หรือแม้กระทั่งรถประเภทพลังเสียง ที่ต้องการให้ตัวถังของรถนั้นนิ่งเพื่อเพิ่มระดับความดัง ก็สามารถทำได้ด้วยการติดวัสดุซับเสียงให้ถูกต้องและเหมาะสมครับ


STEP ที่   เริ่มด้วย หากท่านผู้ใช้รถต้องการเพียงแค่ ลดเสียงลมที่มักจะลอดเข้ามาในขณะที่รถเราวิ่งด้วยความเร็ว ซึ่งเดิมอาจจะมีเสียงน่ารำคาญดัง วี้ วี้ ยิ่งวิ่งเร็วยิ่งดัง อาการดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นได้กับรถทั้งเก่าและใหม่ครับ แต่รถเก่าอาจจะเจอมากกว่าครับ เนื่องด้วยของยางที่โรงงานติดตั้งมาปกติ เมื่อเวลาผ่านไปโดนทั้งความร้อนทั้งฝน จนยางเหล่านั้นเริ่มแข็งจนไม่แนบสนิทกับตัวรถ ลมจึงแทรกเข้ามาได้ง่ายๆเลย นอกจากการแก้ไขที่ต้นเหตุ คือ ควรเปลี่ยนยางขอบประตูทุกๆสามสี่ปี ครับ แต่นอกจากนี้เรามีวิธีที่ทำให้เงียบยิ่งกว่าเดิม โดย ไม่ได้ใช้เงินมากมายเลย เพียงท่านติดตั้งวัสดุซับเสียงประเภทที่เรียกว่า CONTACT DAMPING เข้าไป เสริมที่ยางขอบประตูก็จะช่วยได้มากครับ และยังมีอุปกรณ์ที่เป็นที่นิยมมากๆในขณะนี้ เป็นขอบยางที่ผลิตมาพิเศษเพื่อติดตั้งเพิ่มที่ช่องว่างด้านในทำให้เสมือนเรามีขอบยางสองชุดกันลมเข้ามาได้แบบเงียบสนิทจริงๆเลยครับ ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมกันได้ที่ WWW.STUFFIT.CO.TH ได้เลยครับ รับรองเลยว่าไม่ผิดหวัง พวกเราแนะนำกันไปติดตั้งจนแพร่หลายในกลุ่มนักเล่นเครื่องเสียงอยากมากครับตอนนี้ (ใช้งบประมาณส่วนนี้ ราว1-2พันบาทเท่านั้นครับ)


STEP ที่    ขั้นตอนต่อไปที่เพิ่มงบประมาณอีกก้อน แต่ประโยชน์มีมากมาย หากท่านผู้อ่านสังเกตเวลาขับรถ หรือนั่งรถไป ยิ่งเวลาวิ่งทางยาวๆ ท่านจะได้ยินเสียงยางรถยนต์ที่บดเสียดสีกับถนนแล้วก้องสะท้อนที่ซุ้มล้อทั้งสี่ จนมีเสียงอื้ออึงเป็นความถี่ต่ำๆ อันนี้ก็น่ารำคาญไม่แพ้กันกับเสียงลมครับ เพียงแต่ว่า เสียงลมมันเป็นความถี่สูง แต่เจ้าเสียงยางรถยนต์บดกับพื้นถนนนั้นเป็นความถี่ต่ำ ความถี่ต่ำเหล่านี้เป็นอุปสรรคมากๆสำหรับการฟังเพลงหรือการคุยกันในรถ รถคันไหนที่เวลาวิ่งเร็วๆแล้วคนในรถต้องแทบจะเรียกว่าตะโกนคุยกัน นั่นคืออาการของเสียงรบกวนประเภทนี้ครับ ......วิธีแก้จุดนี้ คือ การทาหรือพ่น น้ำยาลดเสียงสะท้อนเสียงรบกวนที่ซุ้มล้อทั้งสี่ครับ หรืออาจใช้เจ้าแผ่น VIBRATION DAMPING แปะเข้าไปก็ยังได้ครับ แต่ด้วยตำแหน่งในซุ้มล้อซึ่งจะต้องโดนทำโดนหินโดนความชื้นและอะไรสารพัด จึงเหมาะที่จะใช้น้ำยาพ่นหรือทามากกว่าครับ เรายกตัวอย่างของน้ำยาประเภทนี้มาให้ทานๆไว้เป็นทางเลือกกันครับ ทั้ง น้ำยา X-VIBRATION จากค่าย BRAX เยอรมันนี , STP จาก รัสเซีย   และ อีกตัวที่เพิ่มมีนำเข้ามาสดๆร้อนๆ คือค่าย BLUE PRINT ครับ (ใช้งบประมาณส่วนนี้ ราวๆ5-6พันบาท ครับกับน้ำยาพ่นที่ลดเสียงรบกวนได้ราว 3-5dB ครับ) 


STEP ที่    ขั้นตอนนี้ถือเป็น MAIN COURSE ได้เลยครับ เพราะมันใช้งบประมาณมากที่สุด ของทุกขั้นตอนที่กล่าวมา คือการติดตั้งเจ้า VIBRATION DAMPING ที่ท่านๆเราๆมักเรียกว่า แผ่นแดมป์ นั้นหละครับ การติดตั้ง จะมากน้อยตามสะดวกกระเป๋าท่านๆหละ เพราะว่า เขาคิดกันเป็นราคาต่อแผ่นครับ หนึ่งแผ่นก็มีขนาดเท่าๆกับบานประตูหนึ่งบาน โดยหลายๆท่านติดตั้งลงไปถึงสองชั้นครับ เพราะเจ้าตัวนี้เองที่ทำให้การสั่นกระพรือภายในรถจากตัวถังเหล็กบางๆ กลายเป็นรถถังที่มีความหนา ลดเสียงรบกวนได้อย่างมหาศาลครับ ท่านจะติดตั้งเพียงที่ประตูสี่บาน หรือ จะติดตั้ง พื้นรถ หลังคารถ ห้องเก็บสัมภาระท้ายรถ หรือแทบทุกจุดที่เป็นเหล็กตัวถังรถที่สามารถติดตั้งได้ ผลก็คือ เงียบ นิ่ง ส่งผลดีสุดๆกับห้องฟังเพลงครับ (งบประมาณการติดตั้ง หลักหมื่นครับ ตั้งแต่หมื่นกว่าจนถึง สามหมื่นบาทได้ครับตามปริมาณที่ติดตั้งครับกับการลดเสียงรบกวนได้ราวๆ10dB )



STEPที่ 4      ขั้นตอนนี้อาจใช้งบประมาณมากขึ้นอีกหน่อยครับ ขึ้นอยู่กับว่าต้องการคุณภาพแค่ไหน  คือ เจ้าSOUND PROOFING FOAM ที่ผมยกตัวอย่างมาให้ดูกันในฉบับที่แล้วคือ NOISE STOP FOAM ที่จะเป็นแผนเรียบๆด้านนอกแต่มีรุพรุนด้านใน เจ้าตัวนี้ จะช่วยมากในแง่ของการ SOUND BLOCK  ไม่ให้เสียงจากภายในออกไปภายนอกและไม่ให้เสียงจากภายนอกเข้ามาภายในห้องโดยสาร เจ้าตัวนี้เองครับที่ทำให้รถเงียบตัวจริงเลยครับโดยที่อย่างต่ำๆสามารถลดระดับความดังในห้องโดยสารลงได้ถึง 15-20dB เลยครับ หากติดตั้งอย่างถูกต้อง โดยการติดตั้งนั้นสามารถติดตั้งปูลงไปบนพื้นรถใต้พรม และบริเวณด้านในของแผงประตูทั้งสี่บาน และแปะลงบนหลังคารถ ก่อนที่จะติดตั้งผ้าหลังคา รวมทั้งติดตั้งบริเวณ ฝากระโปรงหน้าตรงห้องเครื่องยนต์ ก็จะช่วยลงเสียงดังจากเครื่องยนต์ที่เข้ามารบกวนได้มากครับ และยังป้องกันไม่ให้เสียงจากภายในรถ ออกมานอกรถได้อย่างดีมากๆครับ (งบประมาณการติดตั้ง ราวๆ8พันจนถึง1หมื่นบาทครับ)

 หากท่านทำได้ครบสี่ขั้นตอน ที่แนะนำไป รับรองได้เลยครับว่า ท่านจะได้ห้องฟังเพลงในรถที่คุณภาพไม่แพ้ห้องฟังเพลงดีๆในบ้านซักเท่าไร แถมยังทำให้บรรยากาศในการเดินทางดีกว่าเก่ามากมาย สามารถฟังรายละเอียดยิบย่อยและบรรยากาศของเพลงโปรดที่เราชื่นชอบมันช่างรื่นรมย์มากๆครับถึงแม้ว่าใช้งบประมาณรวมๆกันแล้วเกือบ5หมื่นบาทก็ตามครับ ส่วนท่านที่งบประมาณไม่ได้มากมายนัก ผมก็แนะนำว่า ท่านทำที่ละขั้นตอนตามลำดับได้ครับ ค่อยๆเป็นค่อยไป ท่านก็จะเห็นและรู้สึกถึงการพัฒนาของชุดเครื่องเสียงในรถท่านได้อีกด้วย  ขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงในรถนะครับท่านผู้อ่านของผม


ราตรีสวัสดิ์ครับ ชาวโลก
MICKEYMOUSE






เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ วัสดุซับเสียง DAMPING MATERIAL (PART1)

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ วัสดุซับเสียง DAMPING MATERIAL (PART1)







วัสดุซับเสียง ที่มีจำหน่ายและติดตั้งกันอย่างแพร่หลายในกลุ่มร้านติดตั้งเครื่องเสียง ในบ้านเรานั้น มีเริ่มต้นมาจริงๆก็ราว15-20ปีก่อนครับ เริ่มกันจากแผ่นลดการสะเทือนของตัวถังรถ ที่มีค่ายดังในอดีต คือ DYNAMAT  จาก สหรัฐอเมริกา แต่ในยุคนั้นเรียกว่ามิเป็นที่แพร่หลายและนิยมมากนัก ด้วยอาจเป็นการขาดการให้ความรู้ทางวิชาการแก่ผู้บริโภคมากพอ หรือด้วยสาเหตุที่ติดตั้งยาก มีกลิ่นแรง รวมทั้งไม่ค่อยทนทานในสภาพอากาศร้อนๆอย่างบ้านเรา ซักเท่าไรนัก จนมีผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรายหนึ่ง ที่สามารถพลิกกระแสความนิยมของเจ้าแผ่นวัสดุซับเสียงเหล่านี้ให้เป็นที่นิยมแพร่หลายในวงกว้างมากขึ้น ชนิดที่ว่า ร้านเครื่องเสียงที่เน้นขายฝีมือ มักจะมีจำหน่ายและติดตั้งแทบทุกรายจนได้ โดยได้แพร่หลายอย่างยิ่งในราวๆปี 2540 เป็นต้นมา ชนิดที่ว่า ผู้จัดจำหน่ายรายนั้น แทบจะไม่ต้องสนใจที่จะขายสินค้าอื่นๆในกลุ่มเครื่องเสียงไปเลยครับ เพราะแทบจะเป็นรายเดียวที่ครองตลาดสินค้าแบบนี้มากกว่า70%เลยกว่า15ปีที่ผ่านมา จนเมื่อราวๆ5ปีที่ผ่านมานี้เองที่เริ่มจะมีคู่แข่งสินค้าประเภทเดียวกันมาทำการตลาดแบบจริงจังจนได้ส่วนแบ่งทางการตลาดป้างพอสมควร แต่หากให้ผมเองเดาจากการคาดการส่วนตัว ผมก็ยังคิดว่าเขาก็ยังคงได้ส่วนแบ่งทางการตลาดไปมากกว่า40% อยู่ดีครับยี่ห้อดังที่ผมกล่าวถึงนั้นคือ American Dynamic นั่นเองครับ จากเหตุการณ์ที่เล่ามานี้เอง เป็นเหตุให้ผมขอหยิบยกเรื่องราวของเจ้าอุปกรณ์ซับเสียงแบบต่างๆที่มีจำหน่ายในปัจจุบันมาเล่าให้ท่านผู้อ่านทราบไปด้วยกันวันนี้ครับ
มาเริ่มกันที่ประเภทของวัสดุซับเสียงกันก่อน
ชนิดแรก ที่นิยมกันแพร่หลายมากที่สุด ก็คือ SOUND DEADENING หรือ เรานิยมเรียกว่า VIBRATION DAMPING ซึ่งเจ้าVIBRATION DAMPING นี้เองนั้นตัววัสดุที่ใช้ผลิตในทางอุสาหกรรมนั้นเรียกว่า MASTIC BUTYL  RUBBER 

ซึ่งก็มีหน้าตาคุ้นๆหน้ากันอยู่ไม่กี่แบบครับ โดยหน้าที่หลักของเจ้าวัสดุนี้คือ เมื่อทำการแปะลงไปบนพื้นผิวที่ต้องการ มันจะช่วยละการสั่นกระพือของตัวพื้นผิวนั้นๆลงไปมากตามความหนาของเจ้าวัสดุนั้นๆครับ เจ้าVIBRATION DAMPING นี้เอง ที่ช่วยแก้ปัญหาเสียงกระพือของตัวถังรถ แถมด้วยทำให้ห้องโดยสารเงียบขึ้นบ้าง กับอีกหนึ่งเด้งคือ ลดความดังของเสียงความถี่ต่ำจากภายนอกได้อีกบางส่วน ดังนั้นเราจึงเห็นร้านเครื่องเสียงมักจะติดตั้งเจ้าตัวนี้ให้เราจนชินตากันครับ แต่ก็มิใช่มีแต่ประเภทแผ่นอย่างเดียวเท่านั้นครับ ยังมีอีกประเภทที่เป็นแบบทาหรือแบบพ่นครับ ผมหาภาพตัวอย่างมาให้ชมกันครับ 



ชนิดที่สอง ที่เราอาจจะไม่ค่อยได้เห็นกัน แต่สำหรับร้านเครื่องเสียงประเภทใส่ใจเรื่องรายละเอียดก็มักจะมีครับ คือ เจ้าSOUND PROOFING FOAM ผมยกตัวอย่างมาให้ดูกันสองแบบที่น่าจะพอคุ้นตากันบ้างครับ คือ EGG BOX PROFILE FOAM ที่มีหน้าตาเหมือนรังไข่และอีกแบบคือ NOISE STOP FOAM ที่จะเป็นแผนเรียบๆด้านนอกแต่มีรุพรุนด้านใน เจ้าสองตัวนี้ จะช่วยมากในแง่ของการ SOUND BLOCK  ไม่ให้เสียงจากภายในออกไปภายนอกและไม่ให้เสียงจากภายนอกเข้ามาภายในห้องโดยสาร เจ้าตัวนี้เองครับที่ทำให้รถเงียบตัวจริงเลยครับโดยที่อย่างต่ำๆสามารถลดระดับความดังในห้องโดยสารลงได้ถึง 20dB เลยครับ หากติดตั้งอย่างถูกต้อง


ส่วนอีกชนิดหนึ่งที่เรายิ่งเห็นน้อยกันไปใหญ่ เขาเรียกว่า CONTACT DAMPING ครับ เจ้าประเภทนี้ ไว้ใช้ทำอะไร ท่านผู้อ่านคงสงสัยครับ จากชื่อก็แจ้งเลยว่า ใช้บริเวณจุดต่อระหว่างวัสดุชิ้นหนึ่งกับอีกชื้นหนึ่ง เช่น ช่องว่างระหว่างยางขอบประตูรถกับเหล็กตัวรถ เมื่อปิดประตูแล้วสังเกตจะเห็นว่ามีช่องโหว่เล็กๆอยู่ครับท่านจึงได้ยินเสียงลมเข้ามาให้รำคาญเล่นเวลารถวิ่ง วิธีแก้ไขเพียงแต่ท่านเอาเจ้าCONTACT DAMPING นี้ตัดเป็นเส้นๆแล้วปะไปบริเวณรอยต่อนั้นๆ เมื่อปิดประตูเจ้าCONTACT DAMPING

มันจะยุบตัวเข้ารูปตามร่องจะไปทำการอุดรูรั่วเหล่านั้นครับ  ทีนี้เวลารถวิ่งด้วยความเร็วท่านก็จะยังคงเงียบไม่มีเสียงลมเข้าดังวี้ดๆให้น่ารำคาญแล้วครับ  อันที่จริงยังมีรายละเอียดยิบย่อยของเจ้าวัสดุประเภทต่างๆอีกมากครับ เช่น วัสดุซับเสียงที่ติดตั้งด้านหลังของตัวลำโพง ที่จะเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะจุดเฉพาะที่ และวัสดุประเภท กระจายคลื่นความถี่ ลดเสียงสะท้อน โดยผมก็จะทยอยๆนำมาแนะนำให้ในตอนต่อๆไปนะครับ อีกทั้งหลังจากบทความต่อเนื่องชิ้นนี้ออกไปให้อ่านกัน เราจะมีการทยอยทดสอบผลิตภัณฑ์ประเภทนี้โดยส่งเข้าLABS TEST ของเราอย่างละเอียดยิบต่อไปครับว่าค่ายไหนมีคุณสมบัติดีเด่นอย่างไร เพื่อให้ท่านได้เป็นข้อมูลสำหรับการเลือกซื้อได้ด้วยอีกทางครับ อย่าลืมติดตามกันตอนต่อนะครับพ้ม

ราตรีสวัสดิ์ครับ ชาวโลก
MICKEYMOUSE

MICKEYMOUSE พาเที่ยว พาทัวร์ดูตลาดเครื่องเสียงรถยนต์ ประดับยนต์ ในพม่า

" มิงกะลาบา ……. สวัสดีครับท่านผู้อ่าน "


   วันนี้ผมกล่าวทักทายท่านๆเป็นสำเนียงพม่า เพราะว่าเราจะมาเล่าเรื่องราวน่าสนใจในการเดินทางไปพม่ากันครับ   ประเทศ พม่า ในสายตาของคนไทย นั้น เท่าที่ผมได้พูดคุยสัมผัสมาก่อนที่จะมาท่องเที่ยวที่นี่  ผมรู้สึกเช่นกันกับหลายๆท่านว่า คงเป็นเมืองที่ ผู้คน น่ากลัว ไม่เป็นมิตร และความเจริญล้าหลังมากๆ ปกครองด้วยทหารแบบไม่น่ามีใครมาทำธุรกิจได้ง่ายๆ  ยิ่งมีข่าวบ่อยๆว่า ยังมีความวุ่นวาย ระหว่างชนเผ่าต่างๆ มีการปราบปราม โน่นนี่ มีคนเสียชีวิต อีกทั้งเรื่องราวของชาวโรฮินยา ที่ ประเทศไทยมีการเสนอข่าวที่ทางการไทยทั้งช่วยเหลือ ทั้งผลักดันออกนอกน่านน้ำเราตลอดเวลา อีกทั้งอาจจะประกอบกับเรื่องราวในตำราประวัติศาสตร์ไทยที่ พม่ากับไทยดูจะมีการรุกราน เผา ลอกทอง จนเราๆคนไทยก็จำฝังใจว่า ไม่ชอบคนพม่า ทั้งๆที่อันที่จริงเรื่องราวความจริงมันเป็นอย่างไร ก็ไม่มีใครที่รู้และประสพจริง มีชีวิตอยู่ยืนยันครับ ดังนั้น ผมขอท่านผู้อ่านว่า งานนี้เราหยิบอคติ ของเราออกไปก่อน แล้วมองพม่า แบบมุมมองขอนักลงทุน มุมมองของนักท่องเที่ยว มุมมองของประเทศเพื่อนบ้านที่รั้วติดกันมากๆ ก่อนนะครับ จะได้เรียนรู้ว่า มีอะไรอีกมากมายที่น่าสนใจในพม่า

การเดินทางมา แสนจะง่าย ถึงแม้ว่า การที่เราคนไทยจะเข้าประเทศพม่า ยังจะต้องขอวีซ่า อยู่ แต่ในอนาคตอันไกล้นี้ก็ได้ข่าวมาว่า จะยกเลิกแล้วครับ  ขณะที่ผมนั่งเขียนอยู่นี้ ก็ได้มีการประกาศเพิ่มเติมอีกหลายประเทศในอาเชียนที่ยกเลิกการขอวีซ่า ไปแล้ว แต่จากการสังเกตูยังเป็นประเทศที่ ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยงเดินทางมาครับ ส่วนประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมามากๆ  ยังคงเป็นแค่ข่าว ก็น่าเห็นใจครับ เพราะหากได้รายได้มากมายจากการทำวีซ่า ก็คงต้องคิดให้ดีก่อนว่าคุ้มหรือไม่กับรายได้และการลงทุนที่จะเข้าประเทศ 


เรื่องสายการบิน ที่มาที่สนามบินหลักของพม่า คือ ย่างกุ้งและ มัณท์ดาเลย์   ก็มีทั้ง การบินไทย บากกอกแอร์เวย์ แอร์เอเชีย เวลาก็เหลื่อมๆกันครับ มีตั้งแต่ เจ็ดโมงเช้า ไปยัง รอบค่ำ สองสามทุ่ม ก็ตามสะดวกเวลาและกระเป๋า เพราะถ้าวางแผนดีๆ ตั๋วไปกลับ ราคาแค่ สามพันบาท สบายๆ ครับ แต่ถ้าไปทีจี รักคุณเท่าฟ้าของเรานั้น ก็หมื่นนิดๆ ครับ เลือกได้ตามฐานะกันเลย  ใช้เวลาบินราวๆหนึ่งชั่วโมงสิบห้านาที ที่เขาประกาศ แต่วันไหนปลอดโปร่ง นักบินรีบๆ อาจจะอากกลับบ้านไว บินราว50นาทีผมเคยเจอมาแล้ว ครับ กินข้าวยังไม่เสร็จบอกเครื่องจะลงแล้ว  ใช้เวลาเดินทางแบบนี้ ราคาแบบนี้ เราเดินทางมาสำรวจตรวจตรา หาอะไรทำกันได้บ่อยๆครับ แต่อาจจะติดอยู่ที่ว่า ค่าโรงแรมที่พักจะแพงเอาการเพราะว่า คนแห่กันมา มากมาย ทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น เวียดนาม สิงค์โปร์ ไทย ก็ เลยสบายเจ้าของโรงแรมเขาหละครับ คืนนึง สองสามพันบาทนี่ถือว่าถูกครับ ดังนั้นหากหาที่พักกับเพื่อนๆ หรือ ห้องพักเพื่อนๆที่มาทำงานที่นี่ได้ก็คงจะประหยัดโขเลย
บินลงย่างกุ้ง(YANGON)มา ผมเองมีจุดมุ่งหมายคือ ไปสำรวจตลาดเครื่องเสียง รถยนต์ ของเขา ดังนั้น ก็หาข้อมูลไว้แล้ว ครับว่า ตลาด ขายรถและพวกตกแต่งรถ มีสองสามแหล่งครับ โดย เดิมมีตลาดรถยนต์อยุ่ไกล้ๆห้างใหญของที่นี่ชื่อ Junction squre ครับ แต่ตอนนี้เล็กลงเพราะได้มีการย้ายตลาดรถไปอยู่ที่ อาคารใหญ่ของรัฐบาลที่เรียกว่า  Old Thiri mingala zay(โอลด์  ตรีรี่ มิงกาลาเซย์) ซึ่งตึกนี้เองเดิมเคยเป็นตลาดขายส่งพวกฝัก อยู่ละแวกเดียวกันกับท่าเรือ คือริมแม่น้ำย่างกุ้งเลยครับ ก็เท่ากับว่า ถ้าเป็นตลาดรถยนต์ ท่านมาดูได้สองเหล่งใหญ่ๆครับ คือ ที่เก่าที่ก็ยังมีร้านอยู่พอสมควรเลย  และที่ใหม่  ที่กว้างขวาง มีรถจอดขายอยุ่ไม่น่าตำกว่าห้าหกร้อยคันได้ครับ
ที่นี่ นั้น ตลาดเครื่องเสียงรถยนต์ ค่อนข้างแตกต่างจากบ้านเรามากมายแบบหน้ามือหลังมือครับ ดังนั้นหากมาแนวเก่งมาจากบ้าน อาจมาเว็งที่นี่ก็ได้ครับ เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคที่นี่นั้น แตกต่างจริงๆ คงเปนสาเหตุจากรถที่มีจำหน่ายที่พม่านี้ มากกว่า90%นั้นเป็นรถ มือสองที่ปลดระวางมาจากญี่ปุ่น เลย ท่านๆคงพอนึกภาพตามได้ละครับว่า รถมาจากญี่ปุ่น ใช้งานมาราวๆเกือบ10ปี มีอุปกรณ์ตกแต่งจากโรงงานมาเต็มเหนี่ยว ทั้งเนวิเกเตอร์ ทีวี ดีวีดี Hard disc มาครบแบบจัดเต็ม แถมต่อเข้ากับonboardของรถมาเลย  ทีนี้แหละครับ ใครจะอยากเปลี่ยนน้อ .....

ส่วนพวกที่เป็นรถถูกๆหน่อยก็กลุ่มแท็กซี่ ครับ ที่เอารถไม่ค่อยมีอ้อฟชั่นมาใช้กัน แต่พวกนี้ งบน้อยมากๆๆๆๆๆ มากจน สินค้าราคาถูกจากจีน เอาไปรับประทานเรียบเรย ไม่ค่อยหลุดมาถึงพวกมี่ยี่ห้อราคากลางๆ ซักเท่าไร
ผมเองก็มาเดินๆ ในตลาดเครื่องเสียง เจอพวกร้านค้า ที่มาเมืองไทยบ่อยๆ อ่านหนังสือบ้านเราบ่อยๆ จำกันได้ครับ ดีใจมาทักใหญ่เลย (รู้สึกดีจังมีคนรู้จักไปทั่ว เหมือนจะดัง อิ อิ ) พาไปเลี้ยงข้าวซะงั้น แถมพาไปร้านอาหารไทยซะด้วยครับ ได้เพื่อนมาสองสามคนอย่าง งง งง ครับ แต่ดีครับ
เบื้องต้นนี้ เหตุที่ รถยนต์ วิ่งกันให้ว่อนและจอดขายกันเป็นล่ำเป็นสัน เพราะเมื่อหกเดือนที่ผ่านมานี้ โครงสร้างภาษีรถยนต์เขาได้ปรับใหม่ครับ เมื่อก่อนจะซื้อรถได้นี่ต้องระดับมหารวยครับ แต่ตอนนี้กลายเป็นคนปานกลางก็ซื้อได้เพราะภาษีนำเข้าถูกลงมากๆ  แถมล่าสุดเพิ่งลดภาษีนำเข้ารถปิคอัพด้วยแล้ว รับรองว่าอีกสามสี่เดือนท่านจะเห็นรถปิคอัพเกลื่อนย่างกุ้ง ทั้งๆที่มองไปตอนนี้ แทบไม่เห็นเลยครับ  ตอนนี้ซื้อรถง่ายขึ้น จดทะเบียนไม่ลำบาก แต่ทว่า ถนน ที่กำลังเริ่มทยอยทำ ผมว่า ไม่ทันกับจำนวนรถแน่ๆ ครับปัญหารถติดจึงเกิดขึ้นแล้วในย่างกุ้ง แบบหลีกไม่พ้นครับ แต่ในด้านการลงทุน ข่างแบบน้ ถือว่าดีมากครับ เพราะมันส่งเสริมการค้า การขนส่ง และการพานิชญ์ แน่นอน ยิ่ง สหรัฐอเมริกานั้น มีการมาลงทุนตรงๆหลายธุรกิจ ยิ่งทำให้ภาพของรัฐบาลที่กำลังเดินทางสู่ประชาธิปไตยมากขึ้น มันชัดเจนกว่าเก่า เพิ่มความมั่นใจให้ชาวต่างชาติ  
เอาเป็นว่า ผมอยากกินอาหารชาติไหน ก็หาได้ไม่ยากครับ โดยเฉพาะ ไทย กับเกาหลี  มีทุกหัวระแหง ร้านอาหารไทย มาเปิดอย่างดอกเห็ด แล้วก็ล้วยขายดิบขายดี ขยายร้านกันใหญ่ภายในเวลาไม่กี่เดือน  ส่วนร้านเกาหลีชอบไปอยุ่บนห้างครับ  อยากกินบิมบีบัพ หาง่ายกว่าเมืองไทยหละ  เครื่องสำอางเกาหลีมีมากกว่าเมืองไทยครับ เพราะนักลงทุนเกาหลีน่าจะมาที่ย่างกุ้งนี้มากที่สุดครับ จะสุกี้แบบเกาหลีSK suki ใหญ่โตสองสามสาขา  อีกทั้งร้านก๋วยเตี๋ยวเกาหลีชื่อร้านKYKO อะไรเนี่ยมีแทบทุกห้างครับ ก๋วยเตี๋ยวชามเบ้อเร้อ กินจนเหนื่อยครับ  จะเนื้อย่างแบบเกาหลี มีเพียบ 



ส่วนอาหารไทย เริ่มมีพวกหมูกระทะ มา มีร้านอีสานมา มีร้านอาหารไทยดีๆที่มาเปิดที่นี่มากมายครับ ส่วนสุกี้ โคคา มาเปิดนานมากแล้วครับ แต่ก็เพิ่งย้ายที่ตั้งและปรับปรุงความสวยงามครับ คนแน่นมากๆแบบต้องจองโต้ะเลย  ร้านอาหารฟูจิ เท่าที่เห็นมีอย่างน้อยสองครับ ตกแต่งเหมือนเมืองไทยเลยครับ   เอาเป็นว่า เรื่องอาหารการกิน ถ้าอยู่ในย่างกุ้ง มิต้องกังวล หาอาหารคุ้นเคยของเราๆท่านๆ ทานได้สบายครับ  สงสัยว่า ฉบับนี้จะต้องพอกันก่อน แล้วผมมาเล่าต่อกันในตอนต่อไนะคร้าบ 



MICKEYMOUSE