วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Source Unit ระดับเทพ ที่นักเล่นทั่วโลกอยากได้มาครอบครอง ตอนที่1 ตอน ....เครื่องเล่น เสียงแบบเทพในราคาเบาๆ

Source Unit ระดับเทพ ที่นักเล่นทั่วโลกอยากได้มาครอบครอง ตอนที่1
ตอน ....เครื่องเล่น เสียงแบบเทพในราคาเบาๆ
โดย  : Mickeymouse   
 EMMA International Certify Head Judge 2011 /  IASCA International Judge and Trainer
Owner :  SSS audio (Patanakarn53)

ไม่ได้มีโอกาสเขียนบทความในแนวแนะนำผลิตภัณฑ์เด็ดๆมานานแล้ว เนื่องจากพักหลังๆมัวไปวุ่นวายเกี่ยวกับงานแข่งขันตลอดเวลา กว่า 7 ปี งานบุญงานกุศลต่างๆงานประเภทที่ได้กล่องได้โล่ ที่ทางชมรมผู้ประกอบการนำเข้าเครื่องเสียงขอความช่วยเหลือและเชื้อเชิญให้ไปช่วย จนงานการตัวเองแทบมิได้สนใจ คราวนี้ ปี 2012 คงจะได้กลับหลังหันมาเพื่อทำสิ่งที่อยากทำในฐานะสื่อที่คอยให้ความรู้กันอย่างเต็มที่ อีกครั้งครับ ดังนั้น พี่น้องผองเพื่อนที่คอยติดตามบทความต่างๆของ Mickeymouse มาตลอดคงได้เลิกรอซะทีเพราะปีนี้รับรองว่าจุใจครับ ใครอยากให้เขียนเรื่องอะไรส่งเสียงมาบอกกล่าวกันได้ครับ ที่ www.facebook.com/sssaudio    เราจะได้พิจารณาแล้วนำมา ปล่อยวิชา ให้ท่านๆอย่างสม่ำเสมอต่อไปครับ (หลังจากที่ภูมิใจที่สร้างมาตราฐานให้งานแข่งขันเครื่องเสียงของบ้านเราได้รับการยอมรับจากนานาประเทศว่ามีความยุติธรรมมาตลอด อย่างน้อยก็ในยุคที่พวกผมและทีมผู้ตัดสินทั้งหมดที่ทุ่มเททำงานมากว่า7ปีครับ )
เอาหละครับ เรื่องราวที่ผมตั้งใจเขียนถึงบอกเล่าท่านๆในวันนี้ก็จะเป็นเรื่องของ ต้นกำเนิดเสียงเด็ดๆในรถยนต์ที่คนมีอันจะกินและฟังเพลงแบบจริงจังเขาเล่นกันครับ หรือจะให้พูดจาฟังง่ายก็คือ front เทพๆในยุคปัจจุบันที่คนเขาเล่นกันและยอมรับว่าเจ๋งสุดๆ จะมีอะไรบ้าง แต่ละตัวมีดีอะไรถึงได้ครองใจนักเล่นได้ เชิญท่านๆมาคอยเกาะเก้าอี้อ่านกันครับ ผมจะบรรเลงหละครับ
ขอเริ่มโดยย้อนไปไม่กี่ปี นะครับ ว่าในช่วง4-5ปีที่ผ่านมา จนถึงเวลานี้ มีอะไรน่าสนใจบ้าง  นึกถึงเครื่องแรกก็จะเป็น Pioneer DEH-P80RSII ที่ ขายดิบขายดีชนิดที่ว่าของขาดตลาดไปหลายครั้งครับ เนื่องจากที่ได้มีการปรับปรุงตัว chip Burr brown ที่คุณภาพดีขึ้น ทำให้น้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟังกว่าเดิมในราคาที่ถูกแสนถูก ประเภท เงินเดือนซัก สองสามหมื่น ก็อยู่ในฐานะที่ซื้อใช้ได้สบายครับ ด้วยความสามารถมากมายประเภท อยากได้อะไรมีหมด ทั้งภาคปรีเอ้าท์แบบ 4 volts ถึง 6channel เลยที่เดียว และยังมี Crossover network แบบ 3ทาง แยกเป็น สำหรับลำโพงtweeter woofer และ subwoofer ได้ในตัวเครื่องโดยมิต้องพึ่ง Passive crossover ของลำโพงหรือแม้แต่electronic crossover ในเพาเวอร์แอมป์เลยครับ แถมด้วยชุดความคุมการหน่วงเวลาลำโพงแต่ละตัวแยกอิสระโดยสามารถปรับตามระยะห่างของลำโพงแต่ละตัวจนถึงหูคนฟังได้ทำให้สร้างเวทีเสียงที่เรียกได้ว่าแทบจะสมบูรณ์แบบที่เราๆท่านๆต้องการ และการปรับแต่งเสียงต่างๆที่กล่าวมายังทำได้ง่ายไม่ซับซ้อนมากมาย  จะติดบ้างก็ตรงที่มีข้อจำกัดในเรื่องของ ไม่ได้ผลิตมาให้สามารถใช้งาน port usb ได้ทันทีครับ หากท่านใดต้องการใช้งานกับ USB device ทั้งหลายก็จะต้องไปซื้อหาoption เพิ่มเติมแต่ตัวoption ที่ว่าก็ยังไม่สามารถsupport พวก ipod iPhone หรืออะไรที่คนอื่นๆเขามีกันหมดแล้วได้ครับ อาจจะด้วยเหตุผลที่ว่า มันเป็นแค่การปรับปรุงจากรุ่นเดิมคือ P80 ตัวแรกขึ้นมาโดยยังใช้พื้นฐานวงจรต่างๆเดียวกันจึงไม่สามารถขจัดข้อจำกัดนี้ไปได้ครับ  แต่เมื่อต้นๆปีที่มีการเปิดตัวรุ่นที่จะมาทดแทนP80RSII ก็คือ รุ่น P80PRS  ที่ถือเป็นการ Major Change หรือ Big Change ครั้งใหญ่ที่มีการปรับปรุงทั้งหน้าตาการออกแบบภายนอกที่ดูทันสมัยกว่าเก่ามาก แต่ในแง่มุมของผมเองผมกลับมิอยากให้ออกแบบทันสมัยจนเกินไป ....ผมเองบอกตรงๆไม่อ้อมค้อมว่ามิถูกใจหน้าตาภายนอกนัก แต่อาจจะถูกใจท่านอื่นๆหรือคนอื่นๆทั่วโลกก็เป็นได้ครับ แต่งานนี้ มีความสามารถมากมายเช่นการเล่นแผ่น MP3 ได้ดีกว่าเดิม การรองรับ ipod iphone และยังรองรับ USB แถมด้วยสามารถใช้งาน Bluetooth ได้อีกด้วยครับ งานนี้ ของเพิ่มเพียบแต่เปิดตัวราคาไม่แพงเลย ถูกกว่าตัวเดิมเสียด้วย อย่างนี้น่าจะขายดิบขายดีไม่แพ้ตัวเดิมได้ไม่ยากครับ แต่ทว่าเรื่องของเสียงนั้นมีอะไรพัฒนาหรือไม่ ประเดี๋ยวพูดกันต่อ



เรื่องคุณภาพเสียงเจ้า P80PRS ปี2012 ตัวใหม่นี้นั้นผมได้นำมาทดสอบจริงๆจังๆเปรียบเทียบกับตัวเดิมเลยแบบตัวต่อตัว จึงสามารถสรุปให้ท่านผู้อ่านแบบละเอียดได้เลยครับ ว่า นำเสียงโดยรวม ไม่แตกต่าง จะมีในเรื่องของรายละเอียดยิบย่อยที่มีบางส่วนที่เหนือกว่าเดิม เช่นประกายของย่านความถี่สูงที่จะสะอาดกว่าเล็กน้อย เสียงกลางสูงที่แทบจะจับไม่ได้เลยว่ามีความแตกต่าง แต่เสียงกลางต่ำนั้นหนากว่าเดิมเล็กน้อยครับ แต่ในขณะที่ย่านเสียงต่ำพวกเบส ดูจะบางลงกว่าเก่าบ้างเช่นกัน ส่วนเรื่องของการใช้งานที่ส่วนตัวผมว่ามันยากและต้องทำความเข้าใจและอาศัยความคล่องจากการใช้บ่อยจึงจะลื่นไหลครับ อันนี้อาจเป็นเพราะผมเคยชินกับการสั่งงานและเข้าไปในเมนูการปรับแต่งเสียงขของตัวเดิมมาหลายปีมาก ก็เลยจะขัดๆใจบ้างครับ เอาเป็นว่า สำหรับคอAudiophile ที่กระเป๋าไม่หนักนัก เจ้า P80PRS ใหม่ตัวนี้ สวยเสียงดี ปรับแต่งได้เพียบ ราคาไม่แพงเลยครับ





ต่อมา หันไปดูอีกค่ายกันในระดับราคาที่ไม่หนีกันมากมาย คือ JVC ครับ ที่สองสามปีที่ผ่านมานั้น ดูจะหันไปเอาดีในด้านของ DVD  Multimedia  มากกว่าและทำเงินได้มาก จนท่าทางจะไม่ค่อยสนใจกลุ่มสินค้าราคาหมื่นต้นๆที่เน้นเรื่องของเวทีเสียงการปรับแต่งเสียงแบบเน้นเวทีเสียง มากนัก เลยเกิดอาการสุญญากาศไปในช่วงนี้ครับ รุ่นสุดท้ายที่เราเห็นว่าเขาออกมาทำตลาดเอาใจกลุ่มนี้ ก็คือ JVC KD-SH1000 ครับที่ มิได้มีสิ่งใดด้อยไปกว่า Pioneer P80rsII รุ่นก่อนเลย แถมผมเองเคยทดสอบและวิจารณ์ไปแบบตรงๆเลยครับว่า นำเสียงและความเป็นธรรมชาติ นั้นเหนือกว่าเล็กน้อยด้วย ผนวกกับการที่สามารถรองรับการใช้งานกับUSB ด้านหน้าเครื่องได้เลย จุดนี้เป็นจุดเด่นที่หากหยิบมาสู้กัน ผมเชื่อว่ายอดขายก็คงไม่ทิ้งกันเป็นแน่แท้ครับ แต่อาจเป็นเพราะการFocus การตลาดที่แตกต่างกัน จึงทำให้ทางค่าย JVC มิได้เน้นการทำการตลาดสู้ผู้บริโภคมากนัก แต่เครื่องรุ่นนี้เป็นเครื่องที่ผมชอบมากเครื่องหนึ่งเลยครับ ความลงตัวด้านเสียง การออกแบบ การใช้งาน ครบเครื่องมากๆ น่าเสียดายที่มิได้มีการออกรุ่นใหม่มาเพื่อลงสู้ในsegment นี้ครับ ราคาหมื่นปลายๆในยุคนั้น กับเสียงที่เหนือกว่าผมว่านักเล่นยอมจ่ายได้สบายๆครับ เพราะว่าไม่ว่าจะ 3way crossover , Time alignment , 9 band Equalizer นั้นมิได้มีสิ่งใดที่ด้อยกว่าคู่แข่งรายแรกเลย จะเหนือกว่าในแทบจะทุกด้านด้วยซ้ำครับ แต่ก็นั่นแหละครับว่าเสียดายที่ผู้ผลิตมิได้มีออกสินค้ามาทำตลาดต่อ เสียดาย เสียดาย หวังว่าเสียงเล็กๆที่ส่งไปจะดังไปถึงคนออกแบบผลิตภัณฑ์บ้างนะครับ เพราะผมเองก็แฟนคนหนึ่งครับที่รอจะใช้สินค้าใน segmentนี้ของ JVC อย่างตั้งใจ



ต่อมา ก็เป็นอีกค่ายที่ ต้องยอมรับเลยครับว่ามีความแข้งแรงในด้านการสร้าง Brand ให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นมาตลอดไม่เคยหยุดนิ่ง จะย้อนกลับไปในกลุ่มสินค้าที่สร้างเวทีเสียงได้ก็ตั้งแต่สมัย CDA-9833 , CDA-9835 จนมาเปลี่ยนเป็น CDA9853 , CDA9855 ที่อาจจะมีสะดุดขาตัวเองจากเทคโนโลยี่ที่ Hitech ไปกว่าผู้ใช้ซักนิดนึง เลยทำให้มีคนบ่นมากว่า ใช้งานยาก( แต่ผมชอบครับสำหรับเจ้า glidetouch ที่เป็นแถบด้านล่างที่ใช้นิ้วรูดเปลี่ยนเมนูการทำงานก่อนกดสั่งงาน) ครับทั้งสามรุ่นนี้ได้สร้างตำนานให้คนเล่นเครื่องเสียงต่างไปคว้าหามาเป็นเจ้าของ ก่อนยุคที่ Pioneer จะมาสู้ในตลาดเสียอีก ...ผมเองยุคสมัยนั้นเป็นยุคที่ทุ่มเทเวลาไปกับการนั่งเล่นปรับจูนเวทีเสียงแบบจริงจังอย่างกับคนบ้า จนเป็นที่มาของความชำนาญในด้านการปรับจูนเสียงและเวทีเสียงในวันนี้เลยครับ สำหรับรุ่นที่จะกล่าวถึงในยุคนี้ เห็นจะเป็น CDA9887 ที่ออกมาเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ และก็ได้รับการยอมรับขายดิบขายดีไม่แพ้รุ่นเก่าเลย แต่กระนั้นก็ตาม มีเสียงจากกลุ่มนิยมขายของมือสองระดับhiend ออกมาเสมอๆว่าเสียงสุ้รุ่นเก่าไม่ได้บ้าง เสียงแห้งกว่าเดิมบ้าง จนมีช่วงนึงที่ผู้บริโภคหันไปหาซื้อของรุ่นเก่า แทนที่จะซื้อรุ่นใหม่กัน อาการที่เกิดขึ้นแล้วส่งผลให้เกิดการชี้นำผู้ซื้อไปพักใหญ่ครับ แต่ผมเองเป็นคนหนึ่งครับ ที่ปฎิเสธคำลือกันนั้นตลอดเวลา เพราะบ่อยครั้งมากที่ได้ทดสอบแบบเทียบAB Test กับเครื่องรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ ผมกล้ารับประกันเลยว่า รุ่นใหม่ที่ทางAlpine ได้วางตลาดมานั้น คุณภาพเสียงมิได้ด้อยไปกว่าเดิมเลย แถมด้วยการปรับปรุงพัฒนาหลายๆจุดเพื่อให้รองรับเทคโนโลยีใหม่ไปเรื่อยๆ เพียงแต่บางจังหวะการที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆเทคนิคใหม่ๆเข้ามาอาจทำให้คนใช้งานเดิมไม่ค่อยถนัดบ้างเพราะต้องเหมือนถูกบังคับให้เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งาน ก็เลยเกิดการชะงักบ้างครับ ยิ่งค่ายalpine นั้น มักชอบที่จะออกแบบอุปกรณ์ส่วนควบต่างๆมาด้วยกันจนเหมือนกับการผูดขาดให้ใช้สินค้าของเขา อาทิเช่น เจ้าเครื่อง Alpine รุ่นเหล่านี้ หากต้องการความprofessional มากกว่าเดิมก็ต้องใช้ Processor ของทาง Alpine โดยหากไปใช้งาน Processor ข้ามค่าย ก็จะทำให้มี Noise มากกว่าที่น่าจะเป็น ซึ่งเราผู้ใช้งานก็ไม่ทราบจริงๆครับว่าเป็นความตั้งใจ จงใจที่จะออกแบบมาแบบนั้นหรือไม่ ยิ่งในยุคใหม่ๆเครื่องเล่นรุ่นใหญ่ ระดับหลักแสนบาท นั้นยิ่งเหมือนถูกออกแบบมาให้มีการสั่งงานด้วยระบบ ion Bus ที่มีแต่ในค่ายนี้เท่านั้น ถึงจะเสียงperfect จุดเหล่านี้เองครับที่ผมเชื่อว่า ทำให้ทาง Alpine นั้นได้แยกลูกค้าออกเป็นสองกลุ่ม โดยกลุ่มแรกที่มิได้มีกระเป๋าหนักมากนัก เมื่ออยากจะลองใช้กลับรู้สึกเหมือนว่าเอ หากเอา Alpine ไปใส่เพิ่มเข้าไปกับอุปกรณ์เครื่องเสียงอื่นๆที่เขามีคนละยี่ห้อกัน มันจะไม่ได้ประสิทธิภาพเต็มที่ ก็เลยมีอาการลังเล จนอาจจะไปเลือกสินค้าค่ายอื่นที่ทดแทนกันได้บ้างบางส่วน แต่หากเป็นนักเล่นแบบต้องการความสุดยอด ก็มักจะระบุว่าเอาAlpine เป็นชุดที่ออกแบบมาด้วยกัน ไปเลยครับ
หลังจากเจ้า CDA9887 ก็มาเป็นล่าสุดครับคือ CDA-117ePro ที่มาเพื่อสู้ทุกรูปแบบกับสินค้าในค่ายที่พูดไปก่อนหน้า โดยเจ้า CDA-117ePro นี้ ได้มีการผนวกเอา Processor imprint ที่เดิมนั้นได้เป็นอุปกรณ์แยกขาย ให้เข้าไปรวมเป็นส่วนประกอบที่มีให้มาพร้อมกับรุ่นดังกล่าว ดังนั้น เครื่องรุ่นePro นี้จึงมีทั้งความสามารถในการเล่นเวทีเสียงได้อย่างสมบูรณ์ ทั้ง3way active crossover แบบเซียน ทั้ง TA แบบมืออาชีพ ไปจนถึง EQ ที่ละเอียดกว่าเดิมเพื่อเอาใจนักเล่นชั้นเทพน้อยๆทั้งหลาย แถมด้วยความเก่งกาจด้าน ipod iphone ที่เชื่อมต่อใช้งานได้อย่างรวดเร็ว กับความสามารถต่อเชื่อมกับ USB ได้เลยในตัว แบบนี้ ค่อยกลับมาสู้ศึกในสมรภูมิรบอันดุเดือนได้อย่างมั่นใจครับ ถึงแม้ว่าราคาค่าตัวจะสูงกว่าสองค่ายข้างต้น แต่ก็ไม่ค่อยเป็นอุปสรรคเนื่องจาก Brand ที่ค่อนข้างแข็งแกร่งในกลุ่มนักเล่น Audiophile มากกว่าใครเขารวมทั้งนโยบายอันเด็ดขาดที่ทางผู้แทนนำเข้าและศูนย์บริการจะไม่มีการรับซ่อมสินค้าที่ไม่ได้ซื้อกับตัวแทนในประเทศไทย แบบไม่มีลดราวาศอก ทำให้ยอดขายของบริษัทนำเข้าสามารถควบคุมให้น่าพอใจ แบบแทบจะไม่มีของหนีภาษีหรือของหิ้วเข้ามานักครับ น้ำเสียงของรุ่นใหม่นี้ดีกว่ารุ่น CDA9887 ไปอีกพอสมควรครับ ด้วยความที่ได้ข้อได้เปรียบของเจ้า imprint ที่พิเศษกว่าใครๆ ทำให้การพัฒนาด้านhardwareภายในทำได้โดยสามารถใช้พื้นที่ในเครื่องได้มากขึ้นครับ เสียงที่มักมีคนพุว่า แหบแห้ง ก็นุ่มนวลหวานอุ่นมากกว่าเดิม เป็นอีกรุ่นนึงที่น่าซื้อหาไว้ครอบครองครับ สวย เสียงดี เวทีสมบูรณ์แบบ
ก่อนจะจบตอน ผมเจอของเด็ดอีกตัวนึงครับ จากค่าย Eclipse ที่ไม่ว่าใครก็เชื่อในฝีไม้ลายมือของค่ายนี้ว่า ทำสินค้าออกมาแต่ละชิ้น ล้วนมีทีเด็ดด้านคุณภาพเสียง และลูกเล่นที่น่าทึ่งเสมอๆ หลังจากที่หายหน้าตาไปหลายปีในแวดวงเครื่องเสียงบ้านเรา แต่ในต่างประเทศถึงเขาจะเงียบกริบแต่ก็มีสินค้าออกสู่ตลาดมานะครับ อย่าง CD5000 CD7000 เมื่อหลายปีก่อน ที่เล่นเอาสะเทียอนวงการHiend ไปไม่น้อย เพียงแต่บ้านเรานั้นไม่มีตัวแทนจำหน่ายแบบเอาจริงเอาจังกับเขา เลยไม่มีใครรู้เท่าไรนัก จนมาอีกรุ่นคือ CD7100 ที่ก็สร้างชื่อเสียงอีกครับ ขนาดว่าเขาคุยกันไปทั่วโลกเรื่องคุณภาพเสียงที่ไม่ว่าเซียนหน้าไหนมาฟังก็ตองยกนิ้วครับ ส่วนที่ผมจะกล่าวถึงครั้งนี้ก็คือ รุ่นใหม่ล่าสุดที่เปิดตัวเมื่อกลางๆปี คือ CD5030 ที่เปลี่ยนหน้าตาไปพอสมควรจากรุ่นเดิมๆที่หนาเทอะทะ กลับดูเพรียวบางสวยงาม ผนวกกับอ่านSpecification ที่ ผมว่ามิได้มีอะไรด้อยลงไปกว่าเดิมนัด ทั้ง6Channel Preoutขนาด 5 volts เลย อีกทั้งCrossover 3way ที่ปรับเปลี่ยนSlope ได้ด้วย พร้อมกับ TA อิสระ แต่ละchannel และEqแบบ 7band parametric Equalizer  คราวนี้มาพร้อมกับ Bluetooth และ USB port เช่นกัน ครับ งานนี้ ทุกค่ายที่กล่าวมาข้างต้นบทความ ได้มีคู่ปรับที่เรียกว่าน่ากลัวมาในสังเวียนแล้ว เพียงแต่ว่า บ้านเราคงมิกระทบอะไรเนื่องจากที่ว่า สินค้ายี่ห้อนี้ไม่มีผู้ใดทำการตลาดเลยมานานครับ แต่ยังไงผมก็เอาข้อมูลที่น่าสนใจมาฝากกันครับ และเชื่อเหลือเกินว่าแฟนๆพันธ์แท้ของค่ายEclipse ยังรอคอยที่จะได้ลองกันครับ เพราะจากประสบการณ์ตรงที่ได้เคยผ่านการใช้งานเครื่องทุกตัวที่เล่าให้ฟังแล้วนั้น เรื่องคุณภาพเสียง เจ้า Eclipse เนี่ย ฟินมาก ครับ ฟิน จริงๆ (ใช้ศัพท์วัยรุ่นไปรึเปล่าเนี่ย) 

ผลิตภัณฑ์ทั้งหลายที่กล่าวมานั้น อยู่ในช่วงราคาที่เรียกว่าจับต้องได้ ไม่ลำบากยากเย็น คือ ตังแต่ราคาหมื่นต้นๆ ถึงสองหมื่นครับ ดังนั้น หากท่านเป็นนักเล่นที่รู้ตัวว่าชอบฟังชุดเครื่องเสียงที่ถ่ายทอดคุณภาพเสียงได้ดี คงต้องทราบไว้ว่าต้นกำเนิดเสียงในรถยนต์นี่มีส่วนสำคัญมากที่จะกำหนดชะตาของระบบเสียงนั้นๆว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน ดังนั้นกรุณาพิถีพิถันในการเลือกใช้มากซักหน่อยครับ ถ้ายังมือใหม่ก็เลือกสิ่งที่เรานำมาแนะนำกันรับประกันว่าไม่ผิดหวังครับ เพราะเราทำงานหนักเพื่อทดสอบ วิเคราะห์ อย่างลึกซึ่งและละเอียดก่อนที่จะนำมาแนะนำหรือเล่าสู่กันฟังแบบนี้


  อย่าลืมนะครับว่า เรามีนัดกันฉบับหน้าต่อ ในเรื่องของ Source Unit ระดับเทพ แบบไม่จำกัดงบประมาณในตอนต่อไป ....แล้วเจอกันคราวต่อไปคร้าบ

 สวัสดีพี่น้องชาวโลก


MICKEYMOUSE

1 ความคิดเห็น: